ครอบครัวของฉัน


พุทธประวัติ

พุทธประวัติ(รวบรวมโดย ครูสุวัฒนา รอบจังหวัด จากเว็ป หอมรดกไทย)
พระพุทธบิดา– พระพุทธมารดา พระพุทธบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธมารดาคือ พระนางสิริมหามายา
ประสูติ มูลเหตุของการประสูติ ตามพุทธประวัติมีสันนิษฐานอยู่ 2 นัยคือ

1. พระนางสิริมหามายา ปรารถนาจะประพาสอุทยาน
2.พระนางสิริมหามายา จะไปประสูติพระโอรสที่บ้านเดิมตามธรรมเนียมพราหมณ์ เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ณ สวนลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะติดต่อกัน หลังประสูติได้ 3 วัน กาฬเทวินดาบสหรืออสิตดาบสเข้าเยี่ยม ประสูติได้ 5 วัน เชิญพราหมณ์ 108 มารับอาหาร และขนานพระนาม ประสูติได้ 7 วัน พระมารดาทิวงคต ชีวิตในวัยวัยเยาว์ การศึกษา เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้เข้าศึกษาที่สำนักของครูวิศวามิตร ความสุขสำราญ พระราชบิดาได้รับสั่งให้ขุดสระ 3 สระ สร้างปราสาท 3 ฤดู ความรู้จักวางตน แม้พระองค์จะเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เคารพบูชาอาจารย์ยิ่งนัก อภิเษกสมรส เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระราชบิดาได้จัดอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราหรือ พิมพา
ออกผนวช เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้มีความสุขสำราญในโลกิยสุขเป็นเวลา 29 พรรษา วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จประพาสอุทยาน ได้เห็นเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ พระองค์ทรงดำริว่า “คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นความทุกข์ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ควรเป็นสมณะที่มีความสงบ” ดังนี้เป็นต้น วันเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงทราบข่าวการประสูติพระโอรส พระองค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า “บ่วงเกิดแล้ว”สถานที่บวช เมื่อพระองค์พบเทวทูตทั้ง 4 แล้ว จึงตัดสินพระทัยออกผนวช วันออกผนวช ทรงม้ากัณฐกะและอำมาตย์ชื่อฉันนะตามเสด็จด้วย เมื่อเสด็จมาถึงแม่น้ำอโนมาจึงหยุดและตั้งจิตอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต
แสวงหาโมกขธรรม เมื่อบวชแล้ว เสด็จประทับที่อนุปิยอัมพวัน 7 วัน จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อศึกษาในสำนักอาจารย์ใหญ่ ๆ คือครั้งแรก ศึกษาในสำนักของอาราฬดาบส กาลามโคตร ครั้งที่สอง ศึกษาในสำนักของอุทกดาบส รามบุตร แต่ยังไม่เป็นที่พอพระทัย จึงเสด็จต่อไปอีก จนถึงสถานที่รื่นรมย์แห่งหนึ่งอยู่ในเขตอุรุเวลาเสนานิคม จึงประทับ ณ ที่นั้น ตรัสรู้ในขณะที่พระมหาบุรุษกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ โกญทัญญะ ๑ วัปปะ ๑ ภัททิยะ ๑ มหานามะ ๑ อัสสชิ ๑ ได้มาปรนนิบัติอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ และเมื่อพระองค์ทรงละความพยายามในการบำเพ็ญทุกกรกิริยาแล้ว ปัญจวัคคีย์จึงได้พากันหลีกหนีไป
อธิษฐานจิต เมื่อปัญจวัคคีย์พากันหนีไปแล้ว พระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรทางใจตลอดมาจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา เมื่อเสวยเสร็จแล้ว จึงได้ลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา เวลาเย็นทรงรับหญ้าคาจากโสตถิยพราหมณ์ และทรงปูลาดภายได้ต้นอัสสัตถพฤกษ์โพธิ์ และทรงอธิษฐานจิตว่า “แม้เนื้อหนังจะเหี่ยวแห้งไป ถ้าไม่บรรลุธรรมจะไม่ลุกจากอาสนะนี้”ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 พระองค์ได้เจริญภาวนา ทำจิตให้เป็นสมาธิจนได้บรรลุฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
ยามที่ 1 พระองค์ได้บรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ยามที่ 2 พระองค์ได้บรรลุจตูปปาตญาณ
ยามที่ 3 พระองค์ได้บรรลุอาสวักขยญาณ
ในที่สุดแห่งยามที่ 4 พระองค์ได้บรรลุอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ประกาศศาสนา โปรดปัญจวัคคีย์ เมื่อพระองค์ได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี และโปรดปัญจวัคคีย์ด้วยพระธรรมเทศนา ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด โปรดชฏิล 3 พี่น้อง พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ถ้าจะประกาศศาสนาให้ได้ผลดี ต้องทำให้ชฏิล 3 พี่น้องนับถือเสียก่อน เพราะทั้ง 3 เป็นผู้มีหมู่ชนนับถือมากในแคว้นมคธ พระองค์จึงได้โปรดชฏิล 3 พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ ๑ นทีกัสสปะ ๑ คยากัสสปะ ๑ ด้วยพระธรรมเทศนาชื่อว่า อาทิตปริยายสูตร โปรดพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระองค์โปรดชฏิล 3 พี่น้องแล้วจึงพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,003 รูป ไปประทับอยู่ในสวนตาลหนุ่ม หรือ ลัฏฐิวัน พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมด้วยบริวารเสด็จมาเฝ้าได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า พระเจ้าพิมพิสารและบริวารได้ถึงไตรสรณคมน์ ยอมรับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก พระเจ้าพิมพิสารได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกเข้ารับภัตตาหารในเช้าวันรุ่งขึ้น และได้ถวายอุทานเวฬุวันเป็นพระอารามแห่งแรกในพุทธศาสนาส่งทูตเชิญเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทธโธทนะ ได้ทราบข่าวว่า บัดนี้พระโอรสของพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และกำลังประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ จึงได้ส่งทูตไปอัญเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จนิวัติกรุงกบิลพัสดุ์ และกาฬุทายีอำมาตย์ได้เป็นผู้ทูลเชิญเสด็จ พระพุทธเจ้าทรงรับการเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ พระประยูรญาติถวายการต้อนรับ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์ ประชาชน ชาวเมืองได้พากันทำความสะอาด ประดับบ้านเรือนด้วยดอกไม้อย่างวิจิตร และประยูรญาติได้สร้างนิโครธารามถวายเป็นที่ประทับเสด็จโปรดพระบิดา ครั้นวันรุ่งขึ้น พระองค์ได้เทศนาโปรดพระบิดา ในขณะที่ดำเนินภิกขาจารตามท้องถนนจนพระเจ้าสุทโธทนะบรรลุโสดาปัตติผล เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระเจ้าได้ประกาศศาสนามาถึง 45 พรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น ได้โปรดสุภัททะปริพาชกเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นสาวกรูปสุดท้าย พระมหากัสสปะถวายบังคมพุทธสรีระ เมื่อพระองค์โปรดสุภัททะแล้ว จึงเสด็จปรินิพพาน ณ ไม้สาละทั้งคู่ (ไม้รัง) บริเวณสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ โดยมีมัลลกษัตริย์ เป็นผู้จัดการพระพุทธสรีระ หลังปรินิพพานได้ 8 วัน พระมหากัสสปะได้เข้าถวายบังคมลาพุทธสรีระที่บริเวณมกุฎพันธเจดีย์ และเป็นวันถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6

พระมหากษัตริย์ไทย

สมัยอาณาจักรน่านเจ้า
1. พระเจ้าเหม่งแซเจ้า
2. พระเจ้ามองกาตา
3. พระเจ้าสินุโล (โอรสพระเจ้ามองกาตา)
4. พระเจ้าพีล่อโก๊ะ (ขุนบรม)
5. พระเจ้าโก๊ะล่อฝง (โอรสพระเจ้าพีล่อโก๊ะ)
สมัยกรุงสุโขทัย
ราชวงศ์พระร่วง
1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พ.ศ. 1781 - ไม่ทราบแน่นอน
2. พ่อขุนบาลเมืองพ.ศ. ไม่ทราบแน่นอน - 1820
3. พ่อขุนรามคำแหงพ.ศ. 1820- 1860 (40 ปี)
4. พญาเลอไทพ.ศ. 1861-1897 (36 ปี)
5. พญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ 1)พ.ศ. 1897-1919 (22ปี)
6. พญาไสลือไท (พระมหาธรรมราชาที่ 2)พ.ศ. 1919- 1920 (1ปี)
7. พระมหาธรรมราชาที่ 3(ไม่ทราบระยะเวลาแน่ชัด)
8. พระมหาธรรมราชาที่ 4(ไม่ทราบระยะเวลาแน่ชัด)

สมัยกรุงศรีอยุธยา
ราชวงศ์อู่ทอง (หรือราชวงศ์เชียงราย)
1. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)พ.ศ. 1893-1912 (19 ปี)
2. สมเด็จพระราเมศวรครองราชย์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 1912-1913 (1 ปี)
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
1. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (พะงั่ว)พ.ศ. 1913-1931 (18 ปี)
2. พระเจ้าทองลั่นพ.ศ. 1931 (ครองราชย์เพียง 7 วันก็ถูกปลงพระชนม์)
ราชวงศ์อู่ทอง (หรือราชวงศ์เชียงราย)
1. สมเด็จพระราเมศวรครองราชย์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 1931-1938 (7 ปี)
2. สมเด็จพระรามราชาธิราช (โอรสสมเด็จพระราเมศวร)พ.ศ. 1938 – 1962 (14 ปี – ถูกถอดจากราชสมบัติ)
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
1. สมเด็จพระนครอินทราธิราช (พระอินทราชา)พ.ศ. 1952 –1967 (15ปี)
2. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)พ.ศ. 1967 –19991 (24ปี)
3. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพ.ศ. 1991 –2031 (40ปี)
4. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (โอรสพระบรมไตรโลกนาถ)พ.ศ. 2031 –2034 (3ปี)
5. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)พ.ศ. 2034 –2072 (38ปี)
6. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (หน่อพุทธธางกูร)พ.ศ. 2072 –2076 (4ปี)
7. สมเด็จพระรัษฏาธิราชกุมารพ.ศ. 2076 (ครองราชย์ 5 เดือน ก็ถูกปลงพระชนม์)
8. สมเด็จพระไชยราชาธิราชพ.ศ. 2077 –2089 (12ปี)
9. สมเด็จพระยอดฟ้า (โอรสพระไชยราชาธิราช)พ.ศ. 2089 –2091 (2ปี – ถูกปลงพระชนม์)
10.ขุนวรวงษาธิราชพ.ศ. 2091 (ครองราชย์ 42 วัน – ถูกปลงพระชนม์)
11. สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเจ้าช้างเผือก)พ.ศ. 2091 –2111 (20 ปี)
12. สมเด็จพระมหินทราธิราช (โอรสพระมหาจักรพรรดิ)พ.ศ. 2111 – 2112 (1ปี)
ราชวงศ์สุโขทัย
1. สมเด็จพระมหาธรรมราชาพ.ศ. 2112-2133 (21 ปี)
2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (โอรสพระมหาธรรมราชา)พ.ศ. 2133-2148 (15 ปี)
3. สมเด็จพระเอกาทศรถ (พระอนุชาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)พ.ศ. 2148-2153 ( 15 ปี)
4. พระศรีเสาวภาค (โอรสพระเอกาทศรถ)พ.ศ. 2153 (ครองราชย์ไม่ถึงปี – ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์)
5. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (โอรสพระเอกาทศรถต่างพระมารดาพระศรีเสาวภาคย์)พ.ศ. 2153-2171 (18 ปี)
6. สมเด็จพระเชษฐาธิราช (โอรสพระเจ้าทรงธรรม)พ.ศ. 2171-2172 (ครองราชย์ 1 ปี - ถูกปลงพระชนม์)
7. สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์พ.ศ. 2172 (ครองราชย์ 28 วัน – ถูกถอดจากราชสมบัติ, ปลงพระชนม์)
ราชวงศ์ปราสาททอง
1. สมเด็จพระเจ้าปราสาททองพ.ศ. 2172-2199 (27 ปี)
2. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (โอรสพระเจ้าปราสาททอง)พ.ศ. 2199 (ครองราชย์ 4 วัน – ถูกปลงพระชนม์)
3. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาพ.ศ. 2199 (ครองราชย์ 2 เดือน – ถูกปลงพระชนม์)
4. สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพ.ศ. 2199-2231 (32 ปี)
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
1. สมเด็จพระเพทราชาพ.ศ. 2231 –2246 (15ปี)
2. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)พ.ศ. 2246 –2251 (5ปี)
3. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (โอรสพระเจ้าเสือพ.ศ. 2251 –2276 (24ปี)
4. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์พ.ศ. 2276 –2301 (26ปี)
5. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด)พ.ศ. 2301 (ครองราชย์ 2 เดือน – สละราชสมบัติออกผนวช)
6. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์)พ.ศ. 2301-2310 (9 ปี)
ช่วงปี 2310-2313 ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน เนื่องจากเป็นช่วงเสียกรุงแก่พม่าสมัยกรุงธนบุรี
1. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี)พ.ศ. 2313-2325 (12 ปี)
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ราชวงศ์จักรี
1. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ทองด้วง)พ.ศ. 2325-2352 (27ปี)
2. สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (เจ้าฟ้าฉิม)พ.ศ. 2352-2367 (15 ปี)
3. สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (โอรสสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)พ.ศ. 2367-2394 (27ปี)
4. สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (โอรสสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)พ.ศ. 2394- 2411 (17 ปี)
5. สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (โอรสสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)พ.ศ. 2411-2453 (42 ปี)
6. สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (โอรสสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)พ.ศ. 2453-2468 (15 ปี)
7. สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (โอรสสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)พ.ศ. 2468-2477 (9 ปี)
8. สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (โอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์)พ.ศ. 2477-2489 (12 ปี)
9. สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (โอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์)พ.ศ. 2489 – ปัจจุบัน

...................................

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วงหันไป ห่วงอำนาจ ห่วงตำแหน่ง ห่วงสิทธิ์ และห่วงรายได้กันมากๆ เข้าแล้ว จะเอาจิตใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงในสิ่งเหล่านั้น ก็จะค่อยๆ บั่นทอนทำลายความเป็นครู ไปจนหมดสิ้น จะไม่มีอะไรดีเหลือไว้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจหรือผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครู ก็จะไม่มีค่าเหลืออยู่ให้เป็นที่เคารพบูชาอีกต่อไป
พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้า ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๑